วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เศรษฐกิจฐานดิจิตอล ดันยอดลงทุนโครงข่าย








เศรษฐกิจฐานดิจิตอล ดันยอดลงทุนโครงข่าย
บรอดแบนด์อินเตอร์เน็ต สะพัดกว่า 1.7 แสนล้าน


การลงทุนในโครงข่ายบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตต่างๆ ทั้งแบบมีสายและไร้สายเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยได้รับปัจจัยหนุนหลักมาจากการชูนโยบายเศรษฐกิจฐานดิจิตอลของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ประกอบกับการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นของผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงแบบมีสายและไร้สายเพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด คาดปี 2558 จำนวนผู้ใช้งานบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ต โดยภาพรวมทั้งแบบมีสายและไร้สายจะเพิ่มขึ้นเป็น 34.6-36.0 ล้านคน มียอดเงินลงทุนในโครงข่ายฯ กว่า 111,200 ล้านบาท และยอดเงินสะพัดจากการขยายโครงข่ายบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตทั้งหมดกว่า 173,200 ล้านบาท

ดิจิตอลอยู่ในฐานเศรษฐกิจ
    ในโลกยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีดิจิตอลได้เข้ามามีบทบาทแทรกซึมอยู่ในทุกภาคส่วนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งในภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการ โดยมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจและส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันของประเทศ ทั้งนี้ เทคโนโลยีดิจิตอลมีส่วนช่วยให้เกิดการจัดระเบียบ สื่อสาร และเชื่อมโยงข้อมูลที่อยู่ในรูปแบบดิจิตอลจากแหล่งต่างๆ เข้าหากันได้ในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งก่อให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าและบริการ และการประยุกต์ใช้ในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของภาคธุรกิจ ภาครัฐ หรือแม้แต่ภาคเอกชน จนอาจกล่าวได้ว่าเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันต่อเนื่องไปจนถึงอนาคต จะถูกต่อยอดอยู่บนพื้นฐานของเทคโนโลยีดิจิตอล หรือที่เรียกกันว่า “เศรษฐกิจฐานดิจิตอล” (Digital Economy) 

    ในระบบเศรษฐกิจฐานดิจิตอล การเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านอินเตอร์เน็ตในวงกว้าง โดยเฉพาะอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงหรือบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ต นับได้ว่าเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญประการหนึ่งที่มีส่วนช่วยให้ภาคส่วนต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคสามารถเชื่อมโยงถึงกัน มีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน รวมไปถึงการต่อยอดธุรกิจเดิมและก่อให้เกิดนวัตกรรมเชิงธุรกิจในรูปแบบใหม่ อาทิ การซื้อขายสินค้าออนไลน์ (e-Commerce) การศึกษาทางไกลทางออนไลน์ (e-Education) หรือการโฆษณาในรูปแบบดิจิตอล (Digital Advertising) เป็นต้น สำหรับในด้านผู้บริโภคนั้น อาจกล่าวได้ว่า อินเตอร์เน็ตได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคยุคดิจิตอล ไม่ว่าจะเป็นการติดตามอ่านข้อมูลข่าวสาร การแชตเพื่อติดต่อกับกลุ่มเพื่อนในสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์ค การดูละครย้อนหลัง ดูหนังออนไลน์ หรือแม้แต่การเล่นเกมออนไลน์ เป็นต้น ดังนั้น การพัฒนาและขยายโครงข่ายบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตให้ทั่วถึงและเพียงพอต่อความต้องการนั้น จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมดังกล่าว

ผู้บริโภคเข้าถึงโมบายบรอดแบนด์สูง 
    การเข้าถึงบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตนั้น สามารถเข้าถึงโดยการเชื่อมต่อผ่านโครงข่ายอินเตอร์เน็ตทั้งแบบมีสายและไร้สาย โดยในกรณีที่เป็นการเชื่อมต่อแบบมีสายมักจะเชื่อมต่อผ่านสายเคเบิลทีวี ใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) หรือสายโทรศัพท์ (ADSL) เป็นต้น และหากเป็นการเชื่อมต่อแบบไร้สาย (Wireless) มักจะเชื่อมต่อผ่านดาวเทียม และโครงข่าย 3G หรือ 4G 

    ในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา ธุรกิจบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในอุปกรณ์สื่อสาร โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต รวมถึงการลงทุนขยายโครงข่ายอินเตอร์เน็ตอย่างต่อเนื่อง ทั้งโครงข่ายบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตแบบมีสาย และโครงข่ายบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตแบบไร้สายผ่านโครงข่าย 3G/4G หรือที่เรียกว่า “โมบายบรอดแบนด์” ซึ่งการลงทุนขยายโครงข่ายบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตดังกล่าวได้รับการสนับสนุนและผลักดันจากทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชน ส่งผลให้ในปัจจุบันการเข้าถึงบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตของกลุ่มผู้บริโภค รวมถึงกลุ่มองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว

    โดยจากการประมาณการโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า ในปี 2557 มีจำนวนผู้ใช้บรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตโดยภาพรวมทั้งแบบมีสายและไร้สายในไทยกว่า 29.0 ล้านคน ขยายตัวกว่าร้อยละ 30.6 จากปี 2556 โดยมีอัตราการเข้าถึงกว่าร้อยละ 45.3 จากจำนวนประชากรทั้งหมด 

    อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาถึงรายละเอียดของจำนวนผู้ใช้บรอดแบนด์อินเตอร์เน็ต โดยภาพรวมดังกล่าวกลับพบว่าในปัจจุบัน ผู้บริโภคไทยสามารถเข้าถึงโมบายบรอดแบนด์ได้ด้วยอัตราที่มากกว่าการเข้าถึงบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตแบบมีสายตามบ้านเรือน ถึงแม้ว่าการใช้โมบายบรอดแบนด์ผ่านโครงข่าย 3G/ 4G จะมีข้อจำกัดด้านปริมาณการใช้งานและความเร็ว แต่ความนิยมในการใช้โมบายบรอดแบนด์ยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง 

    โดยจากการประมาณการของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า ในปี 2557 มีจำนวนผู้ใช้บรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตแบบไร้สายหรือโมบายบรอดแบนด์กว่า 28.1 ล้านคน ขยายตัวอย่างก้าวกระโดดกว่าร้อยละ 53.6 จากปี 2556 โดยมีอัตราการเข้าถึงกว่าร้อยละ 43.9 นั่นเป็นเพราะในปี 2557 ผู้ประกอบการโทรคมนาคมและการสื่อสารรายใหญ่สามารถขยายโครงข่าย 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz ให้ครอบคลุมประชากรกว่าร้อยละ 90 ประกอบกับตลาดอุปกรณ์เคลื่อนที่มีการแข่งขันกันสูง โดยมีสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือแม้แต่ฟีเจอร์โฟนรุ่นใหม่ๆ ที่มีฟังก์ชั่นสำหรับการเล่นอินเตอร์เน็ตและโซเชียลเน็ตเวิร์คออกมาหลายรุ่น  จากกลุ่มผู้ประกอบการทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้ราคาของอุปกรณ์เคลื่อนที่ดังกล่าวลดต่ำลงสู่ระดับที่ผู้บริโภคสามารถจับจ่ายได้ 

    อีกทั้งผู้บริโภคบางกลุ่มมีความต้องการใช้โมบายบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตเพียงเพื่อการแชทกับกลุ่มเพื่อนผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค หรือค้นหาหรืออ่านข้อมูลข่าวสารตามเว็บไซต์หรือโซเชียลเน็ตเวิร์คต่างๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงมากนัก นอกจากนี้ กลุ่มผู้ให้บริการโมบายบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตมีการแข่งขันกันสูง จึงทำให้แพ็จเกจการใช้งานโมบายบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตมีความหลากหลาย โดยมีอัตราค่าให้บริการรายเดือนต่ำสุดอยู่ที่ 299 บาทต่อเดือน โดยสามารถใช้ความเร็วอินเตอร์เน็ตสูงสุด 42 เมกะบิตต่อวินาที ได้ในปริมาณ 750 เมกะไบต์ และเมื่อใช้บริการข้อมูลเกินปริมาณที่กำหนด ความเร็วจะลดลงเหลือ 128 กิโลบิตต่อวินาทีโดยไม่จำกัดปริมาณการใช้งาน จึงส่งผลให้ผู้บริโภคบางกลุ่มดังกล่าวมักจะเลือกใช้โมบายบรอดแบนด์ทดแทนการใช้บรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตแบบมีสาย

    อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงการใช้บรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตแบบมีสายตามครัวเรือนในประเทศไทยกลับพบว่า ในปี 2557 มีจำนวนครัวเรือนที่ใช้บริการอยู่เพียง 5.5 ล้านครัวเรือน เติบโตร้อยละ 12.2 จากปี 2556 หรือมีอัตราการเข้าถึงเพียงร้อยละ 25.0 จากจำนวนครัวเรือนทั้งหมดทั่วประเทศ ซึ่งนับว่าเป็นสัดส่วนที่ไม่สูงมากนัก เพราะถึงแม้ว่าบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตแบบมีสายจะมีข้อดีอยู่หลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้งานอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงแบบไม่จำกัดปริมาณและมีความเสถียรในการรับส่งข้อมูล แต่เนื่องจากอัตราค่าให้บริการบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตแบบมีสายในไทยยังอยู่ในระดับสูง โดยมีอัตราค่าบริการโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 655 บาทต่อเดือน ทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงแบบไม่จำกัดปริมาณเลือกที่จะใช้อินเตอร์เน็ตไร้สายจากโครงข่าย 3G/4G ที่มีการจำกัดปริมาณการใช้งานแทน 

    ในปัจจุบันโครงข่ายบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตแบบมีสายยังไม่สามารถครอบคลุมประชากรทุกพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ห่างไกลตามต่างจังหวัด ซึ่งจากข้อมูลของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) พบว่า ปัจจุบันองค์กรภาครัฐและภาคเอกชนได้มีการลงทุนวางโครงข่ายบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตแบบมีสายด้วยใยแก้วนำแสงแล้วเป็นระยะทางรวม 200,000 กิโลเมตร โดยครอบคลุมระดับหมู่บ้านประมาณร้อยละ 50 ของหมู่บ้านทั้งหมดทั่วประเทศ ดังนั้น ด้วยอัตราการค่าให้บริการบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตแบบมีสายที่อยู่ในระดับสูง และข้อจำกัดในด้านการขยายโครงข่ายที่ยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ จึงทำให้การใช้บรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตแบบใช้สายยังกระจุกตัวอยู่ตามครัวเรือนในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และตามหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด โดยเฉพาะในครัวเรือนที่มีรายได้ระดับปานกลางถึงระดับสูงและมีความต้องการใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงตลอดเวลา 

เงินสะพัดกว่า 1.7 แสนล้านบาท
    โดยภาพรวมแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ปี 2558 ไปจนถึงปี 2559 จะมีการลงทุนโครงสร้างเทคโนโลยีพื้นฐานหรือโครงข่ายบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตต่างๆ ทั้งแบบมีสายและไร้สายเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นการลงทุนจากทางภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และผู้ประกอบการโทรคมนาคมและการสื่อสารภาคเอกชน โดยได้รับปัจจัยหนุนหลักมาจากการชูนโยบายเศรษฐกิจฐานดิจิตอลของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่ตั้งเป้าหมายว่า จะต้องขยายโครงข่ายใยแก้วนำแสงให้เข้าถึงผู้บริโภคในระดับหมู่บ้านในสัดส่วนร้อยละ 70-80 ของหมู่บ้านทั้งหมดทั่วประเทศภายในปี 2558 และจะต้องเข้าถึงประชาชนในระดับหมู่บ้านในสัดส่วนร้อยละ 95 ภายในปี 2559 

    ประกอบกับการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นของผู้ประกอบการซึ่งเป็นผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงแบบมีสาย ทั้งจากผู้ประกอบการรายเดิมที่ต้องการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ เพิ่ม และจากผู้ประกอบการรายใหม่ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านโทรคมนาคมและการสื่อสารเข้ามาลงทุนในธุรกิจให้บริการบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตแบบมีสายเพิ่มเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดจากความต้องการใช้อินเตอร์เน็ตของผู้บริโภคที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งจะส่งผลให้มีผู้เล่นในตลาดมากขึ้น จึงมีโอกาสที่อัตราค่าให้บริการบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตแบบมีสายจะถูกลง และน่าจะเป็นแรงจูงใจสำคัญที่จะทำให้มีจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้น รวมถึงการเปิดให้บริการ 4G ในคลื่นความถี่ 900 MHz และ 1800 MHz ของผู้ประกอบการโทรคมนาคมและการสื่อสาร ซึ่งคาดว่าจะเกิดการประมูลในช่วงไตรมาส 3 ปี 2558 นี้

    จากปัจจัยต่างๆ ข้างต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในปี 2558 จำนวนผู้ใช้งานบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตโดยภาพรวมทั้งแบบมีสายและไร้สายจะเพิ่มขึ้นเป็น 34.6-36.0 ล้านคน ขยายตัวกว่าร้อยละ 19.3-24.1 จากปี 2557 และมีอัตราการเข้าถึงเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 53.6-55.8 จากจำนวนประชากรทั้งหมด โดยคาดว่าจำนวนผู้ใช้งานบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตแบบมีสายตามครัวเรือนจะเพิ่มขึ้นเป็น 6.6-7.1 ล้านครัวเรือน หรือมีอัตราการเข้าถึงเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 29.9-32.1 จากจำนวนครัวเรือนทั้งหมดทั่วประเทศ นับว่าเป็นการขยายตัวอย่างก้าวกระโดดกว่าร้อยละ 20.0-29.1 จากปี 2557 

    ขณะที่จำนวนผู้ใช้โมบายบรอดแบนด์ยังขยายตัวได้ดีในกรอบร้อยละ 17.4-23.1 แตะระดับ 33.0-34.6 ล้านคน คิดเป็นอัตราการเข้าถึงกว่าร้อยละ 51.2-53.6 จากจำนวนประชากรทั้งหมด โดยน่าได้รับแรงผลักดันหลักจากราคาอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่อยู่ในระดับต่ำ และจากการเปิดให้บริการ 4G ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการประมูลภายในไตรมาส 3 ปี 2558 

     ประเมินว่า ในช่วงปี 2558-2559 จะมียอดเงินสะพัดจากการลงทุนขยายโครงข่ายบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตโดยภาพรวมทั้งแบบมีสายและไร้สายกว่า 173,200 ล้านบาท โดยมียอดเงินลงทุนในโครงข่ายบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตแบบมีสายทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชนกว่า 111,200 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 64.2 ของเงินลงทุนทั้งหมด และคาดว่าจะมีเงินลงทุนในโครงข่าย 3G และ 4G จากรัฐวิสาหกิจและผู้ประกอบการโทรคมนาคมและการสื่อสารรายใหญ่จากภาคเอกชนอีกประมาณ 62,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35.8 ของเงินลงทุนทั้งหมด ซึ่งการลงทุนในโครงข่าย 4G น่าจะเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีในโครงข่าย 3G ที่มีอยู่เดิม โดยคาดว่าในปี 2558 เงินลงทุนส่วนใหญ่จะมาจากการลงทุนขยายโครงข่ายบรอดแบนด์แบบมีสายและโครงข่าย 3G ขณะที่ปี 2559 เงินลงทุนส่วนใหญ่จะมาจากการลงทุนขยายโครงข่าย 4G

    จากอัตราการเข้าถึงบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตในภาพรวม ทั้งแบบมีสายและไร้สายที่เพิ่มขึ้นดังที่กล่าวมาข้างต้น ย่อมมีส่วนทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นสื่อกลางหรือเป็นพื้นฐานในการดำเนินธุรกิจ ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในปี 2558 การเข้าถึงบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นในกรอบร้อยละ 8.3-10.5 จะทำให้มีมูลค่าเพิ่มโดยรวมต่อระบบเศรษฐกิจสูงถึง 138,860.0-175,670.0 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเป็นมูลค่าเพิ่มของกลุ่มธุรกิจหลักๆ อย่างกลุ่มธุรกิจวางโครงข่ายและธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการวางโครงข่าย ธุรกิจซื้อขายสินค้าออนไลน์ ธุรกิจดิจิตอลคอนเทนต์ หรือแม้แต่ธุรกิจให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น 

    ทั้งนี้ จากรายงานการชี้วัดดัชนีความสามารถในการแข่งขันของ World Economic Forum พบว่า ในปี 2556 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันสำหรับการเข้าถึงบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตแบบมีสายและโมบายบรอดแบนด์อยู่ในอันดับที่ 65 และอันดับที่ 38 ของโลกตามลำดับ อย่างไรก็ดี หากประเทศไทยมีการผลักดันการลงทุนขยายโครงข่ายบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตทั้งแบบมีสายและไร้สาย และผู้บริโภคสามารถเข้าถึงบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตได้มากขึ้นตามที่กล่าวมาข้างต้น ย่อมเป็นส่วนสำคัญที่จะสามารถยกระดับอันดับความสามารถในการแข่งขันสำหรับการเข้าถึงบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตทั้งสองประเภทให้ดีขึ้นในอนาคต

หนุนเศษฐกิจดิจิตอลขยายตัว 
    การที่ประเทศไทยมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานในโครงข่ายบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ต และผู้บริโภคไทยส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้อย่างมีเสถียรภาพ ย่อมเป็นปัจจัยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจบนฐานดิจิตอลให้มีการขยายตัวต่อเนื่องในระยะยาว โดยเป็นการเอื้อให้เกิดนวัตกรรมเชิงธุรกิจใหม่ๆ โดยใช้อินเตอร์เน็ตเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญ โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์และการบริการที่จำเป็นต้องใช้ความเร็วสูง เช่น การทำธุรกรรมทางการเงิน การซื้อขายสินค้าออนไลน์ การโฆษณาในรูปแบบวีดีโอออนไลน์ การศึกษาออนไลน์ การฝากเงินในรูปแบบกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์และการชำระเงินค่าสินค้าและบริการออนไลน์ รวมถึงการทำกิจกรรมทางบันเทิงผ่านสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์ค อย่างการฟังเพลง ดูหนัง หรือเล่นเกมออนไลน์ โดยกิจกรรมบันเทิงต่างๆ ดังกล่าวจะถูกแชร์ผ่านสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์คอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เกิดการพัฒนาคอนเทนต์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอยู่เสมอ เป็นต้น

    นอกจากนี้ การพัฒนาโครงข่ายบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงให้มีประสิทธิภาพและสามารถครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศได้ จะเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิตและการให้บริการของกลุ่มผู้ประกอบการ และเป็นการส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยเฉพาะผู้ประกอบการในต่างจังหวัด เพราะจะสามารถใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อเป็นสื่อกลางสำหรับการพัฒนาระบบห่วงโซ่อุปทานและพัฒนาระบบการให้บริการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ผู้ประกอบการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าและบริการสามารถจัดเก็บข้อมูลการสั่งซื้อสินค้าและบริการของลูกค้าทางออนไลน์ สำหรับการวิเคราะห์ความนิยมในสินค้าและบริการ รวมถึงความชอบหรือความต้องการของลูกค้า เพื่อการพัฒนาคุณภาพของสินค้าและการบริการต่อไป หรือแม้แต่ผู้ประกอบการให้บริการโลจิสติกส์ก็สามารถตรวจสอบข้อมูลสินค้าคงคลังผ่านทางระบบออนไลน์ ตลอดจนสามารถตรวจสอบเส้นทางการเดินทางของสินค้าระหว่างการขนส่งสินค้าผ่านระบบออนไลน์ เพื่อพัฒนาระบบการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ผู้บริโภคก็สามารถตรวจสอบระยะเวลาในการรับสินค้าได้อีกทางหนึ่ง เป็นต้น

    อย่างไรก็ดี ในปัจจุบัน ทางผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs หรือแม้แต่หน่วยงานของรัฐในไทยส่วนใหญ่มักจะประสบปัญหาทางด้านการพัฒนาระบบการบริหารจัดการข้อมูลออนไลน์จากการใช้บรอดแบนด์อินเตอร์เน็ต เนื่องจากต้นทุนในการพัฒนาสูง และยังขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการพัฒนาระบบ รวมไปถึงการใช้ระบบ ในขณะที่ทางฝั่งผู้บริโภคไทยโดยภาพรวมยังมีสัดส่วนการใช้บรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตแบบมีสายอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากมีแรงกดดันจากโครงข่ายบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตแบบมีสายที่ยังไม่สามารถครอบคลุมทั่วประเทศ และยังไม่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับอัตราค่าบริการที่อยู่ในระดับสูงดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น 

    ดังนั้น การส่งเสริมให้มีการใช้โครงสร้างพื้นฐานโครงข่ายร่วมกัน (Infrastructure Sharing) น่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญที่จะทำให้ผู้ประกอบการให้บริการบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตมีต้นทุนสำหรับการลงทุนในการพัฒนาและขยายโครงข่ายต่ำลง สามารถมุ่งพัฒนาคุณภาพการให้บริการอินเตอร์เน็ตได้เร็วขึ้น นับว่าเป็นการส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันอีกทางหนึ่งที่น่าจะทำให้อัตราค่าให้บริการบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตถูกลง ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจสำคัญที่จะทำให้ผู้บริโภคมีแนวโน้มหันมาใช้บรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตแบบมีสายตามครัวเรือนมากขึ้น อีกทั้ง การให้ความรู้และความเข้าใจในความสำคัญของการใช้บรอดแบนด์อินเตอร์เน็ตแก่ผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภควัยกลางคนที่มีอายุ 40-60 ปี จนถึงวัยสูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจบนฐานดิจิตอลประสบความสำเร็จ 

โจรโจ๋-ชิงทองนศ. แทงพลเมืองดีเจ็บ


        โจรวัยรุ่นเหิม ใช้มีดพกจี้ นศ.รามฯปี 1 คณะรัฐศาสตร์ ขณะเดินริมคลองแสนแสบ ชุมชนรามคำแหง 53 ได้สร้อยทองหนัก 1 บาท วิ่งหนีผ่านหน้าหนุ่มพนักงานบริษัทที่เดินไปส่งแฟน ถูกตะครุบไว้ทันควัน ไม่วายใช้มีดแทงพลเมืองดีเจ็บ ชาวบ้านแถบนั้นต่างยกย่องให้เป็นแบบอย่างที่ดีกับเยาวชน
พลเมืองดีช่วยตำรวจจับโจร เปิดเผยเมื่อวันที่ 27 ม.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก พ.ต.อ.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล รอง ผบก.น.4 ว่าช่วงค่ำของวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา พ.ต.ท.เชน ศรีกรุงไกร สวป.สน.วังทองหลาง พร้อมกำลังสายตรวจ สน.วังทองหลางและชาวบ้าน ร่วมกันจับกุมนายศุภชัย หรือใหม่ หนูชู อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่ 261/1 หมู่ที่ 7 ต.ดอนประดู่ อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง ของกลางสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท 1 เส้น มีดพกปลายแหลม 1 เล่ม จับกุมได้ที่ทางเท้าริมคลองแสนแสบ ชุมชุนรามคำแหง 53 ซอยรามคำแหง 53 แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง กทม.
สอบสวนนายอนุพงษ์ ขวัญทอง อายุ 22 ปี และ น.ส.พัชราวัลย์ ฤทธิ์ อายุ 21 ปี ทั้งคู่เป็น นศ.มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 ที่เป็นผู้เสียหาย ให้การว่า ถูกนายศุภชัยใช้มีดจี้ชิงสร้อยคอทองคำของนายอนุพงษ์ไป ระหว่างนั้นมีนายอนุทิน หรือนุก ณ ลำปาง อายุ 22 ปี พนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งย่านรามคำแหง เข้าไปช่วยจับคนร้าย จนถูกมีดแทงเข้าที่แผ่นหลังได้รับบาดเจ็บ ก่อนนำส่ง รพ.นพรัตน์ราชธานี อาการปลอดภัย
ด้านนายอนุทิน ณ ลำปาง พลเมืองดี ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุกำลังเดินไปส่งแฟนสาวที่พักอยู่ในซอยดังกล่าว ได้ยินคนร้องตะโกนว่า ให้ช่วยจับโจรด้วย เป็นจังหวะที่คนร้ายวิ่งผ่าน จึงวิ่งไล่กวดคนร้ายตามไปติดๆ เกิดการต่อสู้ชุลมุนจนล็อกตัวผู้ต้องหาไว้ได้พร้อมสร้อยของกลาง ระหว่างนั้นรู้สึกเจ็บที่แผ่นหลังและมีเลือดไหลออกมาจำนวนมาก ก่อนพบว่าถูกแทง เจ้าหน้าที่จึงช่วยนำส่งโรงพยาบาล แพทย์เย็บบาดแผล 15 เข็ม ให้นอนพักฟื้นเพื่อดูอาการ
เบื้องต้นตำรวจแจ้งข้อหาชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนและพกพาอาวุธมีด ก่อนนำตัวส่ง ร.ต.ท. หญิงจิรภา จันนะรา พงส.สน.วังทองหลาง ดำเนินคดี พร้อมรอให้นายอนุทินพลเมืองดีที่ได้รับบาดเจ็บอาการดีขึ้นเพื่อสอบปากคำแจ้งข้อหาเพิ่มกับผู้ต้องหารายนี้ต่อไป
มีรายงานว่าหลังเกิดเหตุชาวบ้านในละแวกดังกล่าวต่างกล่าวขวัญแสดงความชื่นชมความกล้าหาญของนายอนุทินเป็นอย่างมาก ถือเป็นพลเมืองดีตัวอย่างให้กับเยาวชนที่น่ายกย่อง

วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ค็อกเน็กซ์ เร่งประสิทธิภาพการอ่านรหัสบาร์โค้ด 2-D

ค็อกเน็กซ์ เร่งประสิทธิภาพการอ่านรหัสบาร์โค้ด 2-D



ค็อกเน็กซ์ คอร์ปอเรชั่น (NASDAQ: CGNX) ผู้นำทางด้านระบบแมชชีนวิชั่นของโลกเปิดตัวเทคโนโลยี PowerGrid™ ซึ่งเป็นอัลกอริธึมการหาตำแหน่งที่อิงจากผิวชิ้นงานซึ่งใช้วิธีการแบบพิเศษในการอ่านค่ารหัส 2-D Matrix และ DPM ขณะที่อัลกอริธึมที่อิงจากโครงร่างแบบเดิมนั้นจะเริ่มต้นโดยการค้นหาตำแหน่งรูปแบบตัวค้นหา เทคโนโลยี PowerGrid ของค็อกเน็กซ์จะค้นหารูปแบบของโมดูลความสว่างและความมืดที่อยู่ภายในรหัสสลับกันไปมา


โรงเรียนมวกเหล็กวิทยา

ตราสัญลักษณ์ประจำโรงเรียนมวกเหล็กวิทยา

ในระยะแรกอาศัยอาคารเรียนของโรงเรียนวัดมวกเหล็กนอก (ราษฎร์พัฒนา) มีนักเรียน 46 คน และครู 6 คน มีนายทวี จันทวร เป็นผู้อำนวยการคนแรกของโรงเรียน ต่อมาได้ย้ายมาตังในที่ดินราชพัสดุ ซึ่งอยู่ในความดูแลขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) มีเนื้อที่ 41 ไร่ 0 งาน 13 ตารางวา มีอาคารเรียน 1 หลังเป็นแบบ 216 ล ซึ่งเป็น อาคาร 1 ในปัจจุบัน ปีการศึกษา 2521 มีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรใหม่ และจำนวนนักเรียนชั้น ม.1 เพิ่มมากขึ้น จึงได้สร้างอาคารเรียนชั่วคราว 1 หลัง [1]

ปีการศึกษา 2522 ได้รับงบประมาณสร้างหอประชุม 1 หลังอาคารโรงฝึกงาน 3 หลัง จำนวน 6 หน่วยอาคารพยาบาลและสหกรณ์จำนวน 1 หลัง
ปีการศึกษา 2527 โรงเรียนได้รับอนุมัติให้เปิดสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยมีแผนการเรียน 2 แผนการเรียน ได้แก่ แผนการเรียนวิทยาศาสตร์ และแผนการเรียนเกษตรกรรม
ปีการศุกษา 2528 ได้รับอนุมัติให้ใช้พื้นที่ราชพัสดุในการดูแลขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย(อสค)เพื่อสร้างสนามกีฬา จำนวน 7 ไร่ 0 งาน 05 ตารางวา
ปีการศึกษา 2531 โรงเรียนได้เข้าร่วมโครงการนำร่อง "การจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรมัธยมศึกษา พุทธศักราช 2524 เพื่อประกอบอาชีพอิสระ"ของกระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนจึงได้เปิดผนการเรียนอาชีพอิสระเพิ่มขึ้นอีก 1 แผนการเรียน และในปีนี้โรงเรียนได้รับคัดเลือกให้เป็นโรงเรียนในโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาการใช้หลักสูตรประจำปีการศึกษา 2532 โรงเรียนได้จัดการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นเป็น 6-5-5 และในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายเป็น 3-2-2 รวมจำนวนห้องเรียน 23 ห้อง
ปีการศึกษา 2533 โรงเรียนได้เข้าร่วมโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาหลักสูตร มีนักเรียน 802 คน ครู-อาจารย์ 47 คน จำนวนห้องเรียน 23 ห้อง นักการภารโรง 5 คน และพนักงานขับรถ 1 คน
ปีการศึกษา 2546 โรงเรียนได้เข้าร่วมโครงการ"หนึ่งอำเภอหนึ่งโรงเรียนในฝัน"
ปีการศึกษา 2555 มีที่ดิน 48 ไร่ 0 งาน 18 ตารางวา มีครู-อาจารย์ 68 คน ครูอัตราจ้าง 8 คน พนักงานราชการ 2 คน มีจำนวนนักเรียน 1,600 มีนักการภารโรง 3 คน พนักงานขับรถ 1 คน
ปีการศึกษา 2556 ปัจจุบันมีที่ดิน 48 ไร่ 0 งาน 18 ตารางวา มีครู-อาจารย์ 63 คน ครูอัตราจ้าง 12 คน พนักงานราชการ 2 คน มีจำนวนนักเรียน 1,589 มีนักการภารโรง 3 คน พนักงานขับรถ 1 คน
ภาษาภาษาที่มีการเรียนการสอนในโรงเรียน

โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย




โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย กำเนิดครั้งแรกที่วัดเสาธงทอง ตำบลท่าหิน อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี มีท่านพระครูลวลพบุรีคณาจารย์ (เนียม ภุมมสโร) เจ้าอาวาสวัดเสาธงทอง ซึ่งต่อมาเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ที่พระสังฆภารวาหมุนี ดำรงตำแหน่งผู้กำกับคณะสงฆ์จังหวัดลพบุรี เป็นองค์ริเริ่มก่อตั้งมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2442 ใช้ตึกคชสาร หรือโคโรซาน เป็นที่เรียนโดยมีนักเรียนครั้งแรก 18 คน จ้างครูมาสอนโดยทุนของท่านเจ้าคุณ ต่อมามีนักเรียนมากขึ้นได้สร้างสถานที่ เรียนด้านทิศเหนือตึกปิจู ในวัดเสาธงทองเป็นที่เรียน โดยมีนักเรียนประมาณ 150 คน (ตึกทั้งสองใช้เป็นที่พักและที่ทำงานของครู ปัจจุบันกรมศิลปากรได้บูรณะและขึ้นทะเบียนไว้แล้ว) โรงเรียนที่ตั้งขึ้นนี้ชื่อว่า โรงเรียนประจำเมืองลพบุรี วัดเสาธงทอง
เมื่อนักเรียนมากขึ้น ได้ย้ายมาสร้างที่เรียนใหม่ บริเวณบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) สร้างโดยทุนของเท่านเจ้าคุณพระสังฆภารวามุนี ร่วมกับเงินบริจาคของประชาชน และส่วนราชการธรรมการจังหวัดลพบุรี ย้ายนักเรียนมาเรียนที่ใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2458 และใช้ชื่อว่า โรงเรียนประจำจังหวัดลพบุรี "วิชาเยนทร์" ชั้นมัธยมปีที่ 1 ถึง ชั้นมัธยมปีที่ 3 ได้ปรับปรุงกิจการลูกเสือขึ้น ลูกเสือราบ ลูกเสือม้า ลูกเสือพยาบาล พร้อมที่จะปฏิบัติงานช่วยเหลือทางราชการได้ทุกเวลา โดยทางกรมทหารปืนใหญ่ที่ 3 ส่งครูมาช่วยฝึก ในช่วงนี้มีนักเรียนหญิงมาร่วมเรียนด้วย แต่ไม่ถึง 10 คน เมื่อทางจังหวัดเปิดโรงเรียนสำหรับสตรีขึ้น ชื่อว่า โรงเรียนสตรีลพบุรี "ลวะศรี" นักเรียนหญิงก็ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนแห่งใหม่
ปี พ.ศ. 2471 ทางราชการยุบกรมทหารปืนใหญ่ที่ 3 (ซึ่งตั้งอยู่ที่บริเวณโรงเรียนปัจจุบัน) อาคารต่าง ๆ โอนให้กระทรวงธรรมการ โรงเรียนวิชาเยนทร์ จึงย้ายมาอยู่ที่ใหม่ชั่วคราว และทางราชการได้ให้หาสถานที่ ใหม่สร้างอาคารเรียนคือบริเวณด้านเหนือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ (วัดราชา) สร้างอาคารไม้ 2 ชั้น อาคารเรียนอีก 1 หลัง (อาคารทั้ง 2 ยังอยู่ในปัจจุบัน) ในปี พ.ศ. 2473 ได้ย้ายนักเรียนไปเรียนที่ใหม่ พระองค์เจ้าธานีนิวัติ เสนาบดีกระทรวงธรรมการได้เสด็จมาเปิดอาคารเรียน และขนานนามโรงเรียนใหม่ว่า "โรงเรียนประจำจังหวัดลพบุรี พระนารายณ์" ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2471 ถึง พ.ศ. 2480 การศึกษาได้เจริญขึ้นตามลำดับ เปิดการสอนถึงชั้นมัธยมปีที่ 6 มีนักเรียนประมาณ 300 คน ครู 12 คน อาคารดังกล่าว ปัจจุบันเป็นที่ทำการหน่วยศิลปากรที่ 1 ลพบุรี และบริเวณโรงเรียนก็คือ สวนราชานุสรณ์
เมื่อ พล.ต.หลวงพิบูลสงคราม (ยศในขณะนั้น) เป็นนายกรัฐมนตรี ได้บูรณะเมืองลพบุรี ให้เป็นเมืองทหาร ปรับปรุงผังเมืองใหม่ ตั้งแต่ทางรถไฟไปจนถึงเมืองใหม่ ขณะเดียวกันก็คำนึงถึงการศึกษาไปด้วย เห็นว่าโรงเรียนเดิมที่คับแคบมาก จึงหาที่เรียนใหม่ เห็นว่าบริเวณกรมทหารปืนใหญ่ที่ 3เดิม มีที่มาก จึงสร้างอาคารเรียนใหม่คือตึก 1 ด้วยงบประมาณของกระทรวงกลาโหม
ปี พ.ศ. 2481 ได้ย้ายนักเรียนมาสอนที่โรงเรียนใหม่ และเปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น "โรงเรียนประจำจังหวัดลพบุรี พิบูลวิทยาลัย" อันเป็นมงคลนามของนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้สถาปนาโรงเรียนใหม่
ปี พ.ศ. 2481 ได้มีการสร้างตึก 2 และโรงอาหาร เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงเรียนปิดชั่วคราวเนื่องจากใช้เป็นที่ฝึกทหาร และใช้ตึก 2 เป็นที่พักนักเรียนต้องอพยพย้ายไปเรียนตามโรงเรียนวัดต่าง ๆ เมื่อสงครามสงบก็กลับมาเรียนที่เดิม
กระทรวงศึกษาธิการ ได้เปิดแผนฝึกหัดครูขึ้น ชื่อว่า โรงเรียนฝึกหัดครูพิบูลวิทยาลัย เปิดสอนเมื่อ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2488 รับนักเรียนที่จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มาเรียน 3 ปี ได้วุฒิ ป.ป. แผนกฝึกหัดครู เปิดสอนอยู่ถึงปี พ.ศ. 2489 ก็ยุบนำนักเรียนไปเรียนฝึกหัดครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ธนบุรี
ปี พ.ศ. 2497 ได้สร้างตึก 3 หอประชุม เปิดการเรียนการสอน ถึงชั้นเตรียมอุดมศึกษา(มัธยมปีที่ 7) จัดเป็นสหศึกษา มีนักเรียนหญิงมาเรียนในชั้นมัธยมศึกษาเป็นรุ่นแรก สร้างบ้านพักครู ตึกแถว 10 ห้อง
ปี พ.ศ. 2498 เปิดรับนักเรียนหญิงที่จบชั้น ป.4 มาเรียนชั้น ม.1 เป็นรุ่นแรก
ปี พ.ศ. 2502 จัดเป็นโรงเรียนประเคราะห์ ภาคการศึกษา6
ปี พ.ศ. 2510 ก่อสร้างอาคารเรียนอุตสาหกรรม จัดเป็นโรงเรียนมัธยมแบบประสม (ค.ม.ส.) รุ่นแรกของกรมสามัญศึกษา สร้างอาคารเรียนตึก 4 บ้านพักครู 10 หลัง บ้านพักภารโรง 6 หลัง
ปี พ.ศ. 2512 สร้างอาคารเรียนคหกรรมบ้านพักครู 10 หลัง ปี พ.ศ. 2519 โรงเรียนได้รับคัดเลือกเป็นโรงเรียนพระราชทานดีเด่นขนาดใหญ่ของกรมสามัญศึกษา ปี พ.ศ. 2520 สร้างอาคารเรียนตึก 5 เปิดสอนตามหลักสูตร มศ.1 และปี 2521 เปิดสอนตามหลักสูตร ม.1 ปี พ.ศ. 2526 สร้างอาคารเรียนอเนกประสงค์ (อาคารพลานามัย) ปี พ.ศ. 2537 สร้างหอประชุมใหม่ (หอประชุมพิบูลสงคราม) ปี พ.ศ. 2541 สร้างอาคารเรียนตึก 6 อาคาร 4 ชั้นใต้ถุนโล่ง 24 ห้องเรียน
ในปี พ.ศ. 2522 โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย มีนักเรียนมากประมาณ 5,400 คน ครูประมาณ 320 คน โรงเรียนจึงได้ไปสร้างโรงเรียนแห่งใหม่ โดยแยกชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ไปในปี พ.ศ. 2523 โดย ใช้ชื่อว่า โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย 2 ต่อมากรมสามัญศึกษาได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนพระนารายณ์ ตามชื่อเดิมของโรงเรียนประจำจังหวัดลพบุรี พระนารายณ์ โรงเรียนตั้งอยู่ที่ ตำบลท่าศาลา อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี เปิดสอนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1, 2 และ 3
ปัจจุบันโรงเรียนพิบูลวิทยาลัย เปิดสอนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายคือชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และ มัธยมศึกษาปีที่ 6 เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายแห่งแรกและแห่งเดียวของกรมสามัญศึกษาในภูมิภาค มีห้องรวม 78 ห้อง นักเรียนประมาณ 3,333 คน ครูอาจารย์ 163 คน มีอาคารเรียนรวม 6 หลัง อาคารชั่วคราว อาคารประกอบอีกมากมาย ประวัติและผลงาน ของโรงเรียนดีเด่นตลอดมาทั้งการเรียนในสายสามัญ วิชาชีพ ศิลปะ ดนตรี กีฬา และกิจกรรมต่าง ๆ ศิษย์เก่าของโรงเรียน ตั้งแต่รุ่นวัดเสาธงทองวิชาเยนทร์-พระนารายณ์ จนมาถึงพิบูลวิทยาลัย ได้สร้างชื่อเสียงให้แก่ทางโรงเรียน ได้ประกอบอาชีพทางการงาน ทั้งส่วนราชการ ส่วนตัว สร้างประโยชน์แก่สังคมส่วนรวมเป็นจำนวนมาก นับแต่อดีต มาจนถึงปัจจุบันนี้[1]

คำศัพท์ภาษาอังกฤษ



Blood - เลือด



Boat - เรือ



Calendar - ปฏิทิน

คำศัพท์ภาษาอังกฤษ bell

Bell - ระฆัง

vocabulary english

Cloud  - ก้อนเมฆ

vocabulary english

computer - คอมพิวเตอร์

vocabulary english

chair - เก้าอี้

spell word english

camera - กล้อง

คำศัพท์ภาษาอังกฤษ Balloon

balloon - บอลลูน

คำศัพท์ภาษาอังกฤษ apple

Apple - แอปเปิ้ล

วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2558

ส.ค.ส. ปีใหม่



สุขสันต์วันปีใหม่

โลกนี้เป็นที่รวมของคนมีกิเลส ไม่ว่าหญิงหรือชาย ล้วนมีกิเลสครอบงำเต็มไปด้วยความโลภ โกรธ หลง  เมื่อกิเลสกำเริบแข็งกล้าดวงปัญญาก็มืดมิด  มองไม่เห็นหนทางแห่งความดีงาม  ความเร่าร้อนก็บังเกิดขึ้น  อยากมีอำนาจครอบครองทรัพย์สมบัติ  โดยทุจริตมิชอบ  อยากทำตามอำนาจใจตนเองไม่เคารพกฏหมายบ้านเมือง
ช่วงใกล้วันปีใหม่ขึ้นศักราชใหม่ ประเทศไทยของเรากำลังเร่าร้อน ด้วยความคิดเห็นขัดแย้งกันในทางการเมือง หลายคนเป็นกังวลใจมาก จนนอนไม่หลับก็มี
แต่ถ้าเรารู้จักรักษาใจให้หยุดนิ่ง เป็นสมาธิได้ตลอดเวลา ด้วยการนั่งสมาธิวางใจไว้ที่ศูนย์กลางกาย จะมีความเย็นมาจากภายใน  ทำให้จิตใจมั่นคง ไม่หวั่นไหว ต่อสถานการณ์ใดๆ ที่จะเกิดขึ้น และใจก็ไม่เร่าร้อนตาม
ลองหันกลับมาพิจารนาตนเองจะดีกว่า ตลอดปี พ.ศ 2556 ที่ผ่านมา มีสิ่งใดที่เป็นข้อพกพร่องทั่งเรื่องของการทำงาน และนิสัยของเราเอง ที่จะต้องเปลี่ยนแปลง แก้ไขปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น แล้วตั้งใจมั่นลงไปว่า เพื่อความเป็นสิริมงคลของชีวิต เราต้องสร้างบุญกุศลเพิ่มพูน ให้มากกว่าปีที่แล้ว ตั้งผังชีวิตลงไปว่า
นับตั้งแต่วันนี้จากที่เคยนั่งสมาธิไม่สม่ำเสมอ ก็จะนั่งสมาธิทุกวันอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง สมาธิย่อมเป็นที่มาของดวงปัญญารุ่งโรจน์ จากไม่เคยรู้จักรักษาศีล ก็ตั้งผังชีวิตลงไปเลยว่า อย่างน้อยทุกวันพระ จะรักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์ หรือรักษาศีล 5 โดยปกติอยู่แล้ว ก็ยกระดับใจของตน ขึ้นโดยรักษาศีล 8 ทุกวันพระ คนที่รักษาศีล 5 ได้เป็นปกติตลอดชีวิต ย่อมเป็นผู้มีอายุยืนยาว เพราะไม่ได้เบียดเบียนทำร้ายใคร ย่อมเป็นที่ยกย่องไว้วางใจ ศีลจึงเป็นที่มาของโภคทรัพย์ ใครๆ ก็วางใจให้คอยดูแลทรัพย์ หรือเต็มใจที่จะลงทุนทำกิจการค้าขายด้วย
จากที่ไม่เคยรู้จักการให้ ก็ตั้งใจที่จะบริจาคทาน รู้จักแบ่งปัน การช่วยเหลือกันยามวิกฤตการณ์ เหมือนชายชาติทหารผู้หนึ่งที่มีน้ำใจ ขับมอเตอร์ไซต์ ไปส่งพระภิกษุถึงวัด เพราะไม่อยากเห็นท่านเดินผ่านผู้ชุมนุม ผ่านกลางเสียงเป่านกหวีด เขาส่งพระภิกษุรูปนั้นโดยปลอดภัย เขาอาจจะเสียเวลา ต้องออกนอกเส้นทางเลี่ยงถนนที่ผู้ชุมนุมแออัด ใช้เวลาผ่านไปมากกว่าจะถึงที่หมาย แต่คุ้มค่ากับอานิสงฆ์ผลบุญแม้เขาจะรู้หรือไม่รู้ตาม กล่าวคือ เขาจะเดินทางไปไหนสะดวกปลอดภัยในทุกที่ เมื่อเจอวิฤตการณ์ในชีวิต ก็จะมีผู้ยืนมือมาคอยช่วยเหลือ เขาจะมียานพาหนะที่ดีเลิศในพบชาติต่อไป เมื่อนั่งสมาธิก็จะเข้าถึงธรรมโดยง่ายไม่ติดขัด เพราะบุญจากการอนุเคราะห์ผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ถึง 227ข้อ และถ้าพระภิกษุรูปนั้นปราถนาพุทธภูมิมีวิสัยพระโพธิสัตว์ ผลบุญที่เขาเต็มใจกระทำจะช่วยให้ ยามเจอเคราะห์กรรม ก็จะช่วยผ่อนหนักให้เบา ให้ชีวิตเขายืนยาวไปได้อีกหลายปี
ความดีแม้เพียงเล็กน้อย อย่าละเลยที่จะกระทำ เพราะหากกระทำถูกเนื้อนาบุญอันเลิศ ก็จะได้รับผลบุญจักนับประมาณ เหมือนเทพธิดานางหนึ่ง สมัยเป็นมนุษย์ เธอมีศรัทธาเก็บดอกบวบสีเหลืองอร่ามพนมน้อมบูชา จิตมุ่งตรงต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระหว่างที่เดินทางไปเฝ้าพระบรมศาสดา ถูกวัวขวิดชีวิตดับไปบังเกิดเป็นเทพธิดาชั้นดาวดึงส์ ได้ครอบครองวิมานทองเหลืองอร่าม เพราะจิตเธอเป็นมหากุศล
วันขึ้นปีใหม่  จึงเป็นวันที่ต้องสร้างความเป็นศิริมงคลให้แก่ตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติ ด้วยการพาคุณพ่อคุณแม่หรือคนที่รัก ไปทำบุญ ถวายภัตตาหารที่วัดไกล้บ้าน หรือวัดที่เราศัรทธา ช่วงวันส่งท้ายปีเก่าส่งท้ายศักราช ด้วยการนั่งสมาธิต้อนรับปีใหม่ อธิษฐานจิตให้สิ่งที่ดีเกิดขึ้นกับชีวิต ภัยวิษัติมลายหายสูญ แผ่กระแสเมตตาขอให้คนไทยรักสมัครสมานฉันท์ ได้ผู้ปกคลองผู้บริหารประเทศ ที่มีเมตตาธรรม ไม่ลำเอียงด้วยอคติ 4  คือเอียงเพราะรัก  เอียงเพราะชัง  เอียงเพราะโกธร  และเอียงเพราะหลง
วันขึ้นปีใหม่ไม่ฉลอง ด้วยการเสพของมึนเมาอย่างเหล้าเบียร์ นั่นคือการกระทำอัปมงคลให้แก่ตนเองจิตหมองขุ่นมัวด้วยเสพของที่ผิดศีลธรรม กายใจไม่บริสุทธิ์ หากลมหายใจติดขัด ชีวิตดับไปตอนที่กำลังสนุกสนานเมามาย ชีวิตก็จะติดลบทันที มุ่งไปสู่อบาย เพราะชีวิตตายแล้วไม่สูญ
มาเติมชีวิตใหม่ด้วยพลังบุญกุศลดีกว่า  ชีวิตจะรุ่งเรืองตลอดไป  เพราะรู้จักเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยความมีศิริมงคล